วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติปรัชญาและการแสวงหาความจริง ตอนจบ

ปรัชญาสมัยใหม่ สมัยปัจจุบัน
            ในสมัยฟื้นฟูวิทยาการ มีผู้ที่ไม่เชื่อคำสอนของคริสต์ศาสนา เนื่องจากได้มีการฟื้นฟูวิชาการของกรีกและโรมัน ทำให้เกิดความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อในศาสนาแต่เดิมมา มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า จึงทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิดในรูปแบบที่หลากหลาย
                บรรยากาศในสมัยใหม่มีลักษณะที่สำคัญหรือลักษณะเด่นคือ มีเสรีภาพในการแสดงความคิด การวิจารณ์และการแสดงออกในด่านต่างๆ เช่น ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมีเสรีภาพในการค้นคว้าทางวิชาการอย่างเสรี เนื่องจากอำนาจของสถาบันทางศาสนาลดลง ไม่มีอิทธิพลครอบงำอย่างแต่ก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมัยฟื้นฟูวิทยาการ
                ในเรื่องของวิชาการ ซึ่งครอบคลุมถึงวิทยาศาสตร์และปรัชญานั้น ในยุคนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของการใช้เหตุผลในการแสวงหาความรู้ และเบนความสนใจจากสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมาศึกษาธรรมชาติรอบๆ ตัวมนุษย์ พยายามอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยอ้างถึงสาเหตุที่อยู่ในธรรมชาติ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่กล่าวถึงสาเหตุที่อยู่ในธรรมชาติ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่กล่าวถึงสาเหตุนอกเหนือธรรมชาติหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากนั้นยังถือว่า วิชาการหรือความรู้ในสาขาต่างๆ ที่ค้นคว้ากันขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีจุดหมายเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
                แนวคิดของปรัชญาสมัยใหม่ อาจจัดเป็นระบบที่สำคัญได้ 2 ระบบ คือ ระบบเหตุผลนิยมและระบบประจักษ์นิยม ซึ่งความคิดในแนวแรกนั้นเห็นว่า เหตุผลเป็นที่มาของความรู้ ส่วนระบบหลังมีความเชื่อว่า ความรู้ของเราได้มาจาก ประสบการณ์
                ลักษณะสำคัญของระบบเหตุผลนิยม นอกจากจะถือว่าเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญในการหาความรู้แล้ว ยังถือว่า ความจริงซึ่งเราสามารถรู้ได้ด้วยเหตุผลนั้น ย่อมจะต้องแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปร ทั้งนี้เพราะการแสวงหาความรู้ของเราไม่ได้ใช้แต่ประสบการณ์ แต่ ความจริงที่เรารู้ได้ด้วยเหตุผลนี้มันแฝงอยู่ในจิตของเราอยู่ก่อนแล้ว การใช้เหตุผลทำให้เรารู้ชัดถึง ความจริงอันนี้
                สำหรับระบบประจักษ์นิยมนั้น มีลักษณะที่สำคัญคือ ไม่เชื่อว่า ความจริงดังกล่าวนั้นแฝงอยู่ในจิตเรา ทั้งนี้เพราะพวกนี้เชื่อว่า จิตเหมือนกระดาษเปล่า ไม่มีสิ่งใดมาแอบแฝงอยู่ก่อน ความรู้ทั้งหลายนั้นได้จากประสาทสัมผัสหรือประสบการณ์
                นอกจาก 2 ระบบนี้แล้ว ก็ยังมีปรัชญาอีกระบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย นั่นคือระบบวิมัตินิยมและสัมพัธนิยมซึ่งมองว่าความจริงอยู่ที่อัตวิสัยของมนุษย์ (ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยา, 2529 : 7-8)

สรุป

                ปรัชญาตะวันตกมีพัฒนาการตามยุคสมัยตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่และจนมาถึงปัจจุบัน ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ปรัชญาล้วนมุ่งแสวงหาสิ่งเดียวกันคือ ความจริงซึ่งในแต่ละสมัยก็มีทัศนะเกี่ยวกับความจริงที่แตกต่างกัน เช่น สมัยกรีกยุคแรกเริ่มนั้นความจริงในทัศนะของนักปรัชญาคือปฐมธาตุซึ่งเป็นสสาร ในสมัยต่อมาจึงเริ่มมีแนวคิดว่าความจริงเป็นมโนคติซึ่งเป็นจิต และพัฒนาต่อมาถึงสมัยกลางที่ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์และมีความคิดไปในทางเดียวกันตามความเชื่อว่าความจริงสูงสุดคือพระเจ้า และต่อมาในสมัยใหม่จนถึงสมัยปัจจุบัน ความคิดเรื่องพระเจ้าเริ่มได้รับความนิยมน้อยลง แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ปรัชญาก็กลับมาสู่การแสวงหาความจริงตามทัศนะของนักปรัชญาแต่ละคนอย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่หากสังเกตดูจะพบว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ความจริงในทัศนะของนักปรัชญาก็แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มเสมอ คือ กลุ่มที่เชื่อว่า ความจริงเป็นสสาร ความจริงเป็นจิต และความจริงคือสิ่งที่มนุษย์ตัดสินโดยอัตวิสัยส่วนบุคคล ตั้งแต่สมัยกรีกจนถึงปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความจริงก็ยังคงดำเนินอยู่และพัฒนาการต่อเนื่องอยู่ในกลุ่มแนวความคิดเหล่านี้ 

_____________________________________________________________________________
อ้างอิง : ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยา. (2529). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น