วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, พระเจ้าหรือมนุษย์ ตอนที่ 2

มนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
            ตั้งแต่กรีกโบราณมาจนถึงสมัยกลาง มนุษย์เชื่อว่าเบื้อหลังของปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติมีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนดแผนการสำหรับสรรพสิ่ง ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจำชาติยุโรปส่วนใหญ่ ต่อมาในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับพระเจ้าน้อยลง เริ่มมีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและมีโอกาสแสดงทัศนะอย่างมีเสรีภาพมากขึ้น มนุษย์เริ่มย้อนกลับมามองดูตนเองและให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น จนเกิดเป็นแนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) มนุษย์เริ่มมีความคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กระทำ มนุษย์เท่านั้นที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมายด้วยสติปัญญาของมนุษย์เอง
                คาร์ล มาร์กซ์เป็นนักปรัชญาและนักปฏิวัติ เขามีพื้นฐานความคิดที่ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าจากการศึกษาแนวคิดของ เอปิคิวรุสนักปรัชญาสมัยกรีกโบราณที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกมีอยู่จริง แต่สนับสนุนทฤษฎีของเดมอคริตุสว่าโลกเกิดจากการรวมตัวกันของสสารขนาดเล็กที่เรียกว่าอะตอม แนวคิดนี้ทำให้คาร์ล มาร์กซ์ไม่สนใจแนวคิดเรื่องพรระเจ้าแต่สนใจความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยเฉพาะในแง่ของความเท่าเทียมกันของคนจนและคนรวย ดังที่สะท้อนในแนวคิดของเขาว่า
                แรงงาน คือพระเจ้า และแรงงานอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะครองโลก นอกจากนี้ตั้งแต่ดั้งเดิมมาพวกนายทุนเคยสอนไว้ว่า พระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก อยู่เหนือโลก แต่เดี๋ยวนี้ เราต้องเอาพระเจ้าลงมาอยู่กับเรา คือ กลางๆ คนรวยต้องลดตัวมาเท่ากับคนจน และจะได้ดีด้วยการปฏิวัติโลกเท่านั้น’” (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545 : 225)
                แนวคิดนี้เป็นแนวคิดต่อต้านนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบคนจน และมองว่านายทุนใช้แนวคิดเรื่องพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการกดขี่คนจน แนวคิดต่อต้านพระเจ้าของมาร์กซ์ยังพบได้อีกในงานเขียนของเขาว่า
                ศาสนา คือ ยาเสพติดของมนุษย์ และเป็นเพียงความอ่อนแอและความฝันของมนุษย์ผู้ฟุ้งซ่าน แต่ที่จริงในความฝันอันเลื่อนลอยนั้นเราจะไม่พบตัวเราในชี่ว่าง หรือในสวรรค์เลย แต่เรากลับพบชีวิตบนดินในชีวิตจริง ความจริงการพึ่งศาสนาไม่สามารถช่วยให้รอดในชีวิตจริงได้ เพราะชีวิตจริงของพวกเราต้องพึ่งตนเอง ต้องพึ่งวัตถุ คือ อาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคและสิ่งจำเป็นอย่างอื่นที่มนุษย์ต้องการเพื่อความอยู่รอด และยิ่งไปกว่านั้นศาสนายังสอนให้เราเก็บตัวอยู่ในความอ้างว้างโดดเดี่ยว สอนให้เราหลุดพ้นไปคนเดียว หาความสุขส่วนตัว และพวกนายทุนยังเอาศาสนาไปเป็นเครื่องอบรมคนยากจน ให้หลงเชื่องมงายจะได้ลืมความจริงที่ว่าเราต้องเผชิญกับความร้อนหนาวและความยากลำบาก พร้อมกับความหิวโหย (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545 : 225)
                จุดประสงค์ในการทำงานของมนุษย์คือการพยายามเอาชนะความลำบากและความหิวโหย แต่ที่จริงในโลกแห่งความเห็นแก่ตัวและเอารัดอาเปรียบ พวกนายทุนพยายามสอนให้คนคิดว่า ทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาของพระเจ้า และสอนว่า การทำงานเป็นเพียงการลอกแบบพระเจ้าไม่ต้องหวังผลตอบแทนใดๆ ให้มาก และอย่าได้ยึดติดในทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เพื่อพวกเขาจะได้เอาเปรียบและครองครองทรัพย์สมบัติเอาไว้เอง
                ในทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ดูเหมือนว่าท่านปฏิเสธศาสนาทุกศาสนา แต่หากมองเพียงในแง่ของอเทวนิยมและการพยายามดิ้นรนเพียรทนของมนุษย์ตามที่คาร์ล มาร์กซ์ได้เสนอแนวคิดเอาไว้ ก็มีลักษณะที่คล้ายกับคำสอนของพุทธศาสนาอยู่บ้าง
                ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกองทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด

                หากมนุษย์มีแนวคิดอเทวนิยมที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกับคาร์ล มาร์กซ์ และคำสอนของพุทธศาสนา ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นมนุษย์นี่แหละที่เป็นพระเจ้าของโลกนี้และได้รังสรรค์ประวัติศาสตร์ขึ้นด้วยตัวมนุษย์เอง


คาร์ล มาร์กซ์
______________________________________________________________________________
อ้างอิง : ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์. (2545). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ 2, พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น