มนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
ตั้งแต่กรีกโบราณมาจนถึงสมัยกลาง
มนุษย์เชื่อว่าเบื้อหลังของปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติมีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
เป็นผู้กำหนดแผนการสำหรับสรรพสิ่ง ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจำชาติยุโรปส่วนใหญ่
ต่อมาในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับพระเจ้าน้อยลง
เริ่มมีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและมีโอกาสแสดงทัศนะอย่างมีเสรีภาพมากขึ้น มนุษย์เริ่มย้อนกลับมามองดูตนเองและให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น
จนเกิดเป็นแนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) มนุษย์เริ่มมีความคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน
มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กระทำ มนุษย์เท่านั้นที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
มากมายด้วยสติปัญญาของมนุษย์เอง
คาร์ล มาร์กซ์เป็นนักปรัชญาและนักปฏิวัติ
เขามีพื้นฐานความคิดที่ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าจากการศึกษาแนวคิดของ
เอปิคิวรุสนักปรัชญาสมัยกรีกโบราณที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกมีอยู่จริง
แต่สนับสนุนทฤษฎีของเดมอคริตุสว่าโลกเกิดจากการรวมตัวกันของสสารขนาดเล็กที่เรียกว่าอะตอม
แนวคิดนี้ทำให้คาร์ล มาร์กซ์ไม่สนใจแนวคิดเรื่องพรระเจ้าแต่สนใจความเป็นอยู่ของมนุษย์
โดยเฉพาะในแง่ของความเท่าเทียมกันของคนจนและคนรวย ดังที่สะท้อนในแนวคิดของเขาว่า
“แรงงาน คือพระเจ้า และแรงงานอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะครองโลก
นอกจากนี้ตั้งแต่ดั้งเดิมมาพวกนายทุนเคยสอนไว้ว่า ‘พระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
อยู่เหนือโลก แต่เดี๋ยวนี้ เราต้องเอาพระเจ้าลงมาอยู่กับเรา คือ กลางๆ
คนรวยต้องลดตัวมาเท่ากับคนจน และจะได้ดีด้วยการปฏิวัติโลกเท่านั้น’” (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545 : 225)
แนวคิดนี้เป็นแนวคิดต่อต้านนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบคนจน
และมองว่านายทุนใช้แนวคิดเรื่องพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการกดขี่คนจน
แนวคิดต่อต้านพระเจ้าของมาร์กซ์ยังพบได้อีกในงานเขียนของเขาว่า
“ศาสนา คือ ยาเสพติดของมนุษย์ และเป็นเพียงความอ่อนแอและความฝันของมนุษย์ผู้ฟุ้งซ่าน
แต่ที่จริงในความฝันอันเลื่อนลอยนั้นเราจะไม่พบตัวเราในชี่ว่าง หรือในสวรรค์เลย
แต่เรากลับพบชีวิตบนดินในชีวิตจริง
ความจริงการพึ่งศาสนาไม่สามารถช่วยให้รอดในชีวิตจริงได้ เพราะชีวิตจริงของพวกเราต้องพึ่งตนเอง
ต้องพึ่งวัตถุ คือ อาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย
ยารักษาโรคและสิ่งจำเป็นอย่างอื่นที่มนุษย์ต้องการเพื่อความอยู่รอด
และยิ่งไปกว่านั้นศาสนายังสอนให้เราเก็บตัวอยู่ในความอ้างว้างโดดเดี่ยว
สอนให้เราหลุดพ้นไปคนเดียว หาความสุขส่วนตัว และพวกนายทุนยังเอาศาสนาไปเป็นเครื่องอบรมคนยากจน
ให้หลงเชื่องมงายจะได้ลืมความจริงที่ว่าเราต้องเผชิญกับความร้อนหนาวและความยากลำบาก
พร้อมกับความหิวโหย” (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545
: 225)
จุดประสงค์ในการทำงานของมนุษย์คือการพยายามเอาชนะความลำบากและความหิวโหย
แต่ที่จริงในโลกแห่งความเห็นแก่ตัวและเอารัดอาเปรียบ พวกนายทุนพยายามสอนให้คนคิดว่า
ทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาของพระเจ้า และสอนว่า การทำงานเป็นเพียงการลอกแบบพระเจ้าไม่ต้องหวังผลตอบแทนใดๆ
ให้มาก และอย่าได้ยึดติดในทรัพย์สมบัติในโลกนี้
เพื่อพวกเขาจะได้เอาเปรียบและครองครองทรัพย์สมบัติเอาไว้เอง
ในทัศนะของคาร์ล
มาร์กซ์ดูเหมือนว่าท่านปฏิเสธศาสนาทุกศาสนา แต่หากมองเพียงในแง่ของอเทวนิยมและการพยายามดิ้นรนเพียรทนของมนุษย์ตามที่คาร์ล
มาร์กซ์ได้เสนอแนวคิดเอาไว้ ก็มีลักษณะที่คล้ายกับคำสอนของพุทธศาสนาอยู่บ้าง
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม
และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วยความเพียรของตน
กล่าวคือ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน
มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง
เพื่อพาตัวเองออกจากกองทุกข์
มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง “ปัญญา” ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง
ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด
หากมนุษย์มีแนวคิดอเทวนิยมที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกับคาร์ล
มาร์กซ์ และคำสอนของพุทธศาสนา ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
หากแต่เป็นมนุษย์นี่แหละที่เป็นพระเจ้าของโลกนี้และได้รังสรรค์ประวัติศาสตร์ขึ้นด้วยตัวมนุษย์เอง
คาร์ล มาร์กซ์
______________________________________________________________________________
อ้างอิง : ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์. (2545). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่
2, พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ
: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น