หลังจากที่โพสต์แนวจิตวิทยาไป 2 บทความแล้ว คราวนี้ขอโพสต์แนวปรัชญาบ้างนะครับ เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดว่าบล็อกนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับจิตวิทยาไปแล้ว
ก่อนอื่นผมขอนิยามคำศัพท์ที่จะใช้ในโพสต์นี้ก่อนนะครับ เอาเป็นความหมายง่ายๆ ที่เข้าใจกันได้ทั่วไปแล้วกันนะครับน่าจะดีกว่าความหมายตามพจนานุกรมปรัชญาครับ
อัตนัย (Subjective) หมายถึง ความคิดเห็นส่วนบุคคล
ปรนัย (Objective) หมายถึง สิ่งที่เป็นสากล เป็นส่วนรวม
เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ทุกท่านคิดว่าเป็นอัตนัยหรือปรนัยครับ? ผมเชื่อว่าหลายท่านคงตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าเป็นปรนัย เพราะว่าเมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ (Space and Time) สิ่งนั้นไม่ได้จำกัดว่าเกิดขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียว แต่เราต้องมองกว้างกว่านั้น แม้ว่าสถานที่ที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอาจจะเป็นในบ้านหลังเล็กๆ ปลายนา ไม่มีใครรู้จัก แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์นั้นก็เกิดบนโลกใบนี้ เกิดในจักรวาลนี้ ไม่น้อยไปกว่าเกิดในบ้านหลังนั้นเช่นกันครับ ดังนั้นแน่นอนว่าธรรมชาติของประวัติศาสตร์ย่อมต้องเป็นปรนัยแน่ๆ
คราวนี้ผมจะขอพูดถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นอัตนัยบ้าง หลายท่านอาจสงสัยว่า อ้าว? เมื่อกี้เพิ่งจะบอกเองว่าประวัติศาสตร์เป็นปรนัย คราวนี้มาบอกว่าเป็นอัตนัยอีก? ผมจะอธิบายว่าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเป็นปรนัยจริงๆ ครับ แต่ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันมาเนี่ยเป็นอัตนัย งงไหมครับ?
วิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนในห้องเรียนนั้นเป็นอัตนัย เพราะเป็นการนำเสนอเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นโดยมีทั้งข้อเท็จจริงและส่วนที่เป็น "ความคิดส่วนบุคคล" ของนักประวัติศาสตร์ที่บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เอาที่เห้นกันชัดๆ นะครับ เหตุการณ์ที่พระมหาอุปราชของพม่าสิ้นพระชนม์ในตอนที่สู้รบกับสมเด็จพระนเรศวร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือ พระมหาอุราชสิ้นพระชนม์ แต่สิ่งที่ต่างกันคือพงศาวดารที่บันทึกของทั้ง 2 ประเทศครับ พงศาวดารไทยบันทึกว่าพระนเรศวรทรงทำสงครามยุทธหัตถี ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กใช่ไหมครับ แต่ในพงศาวดารพม่าบันทึกว่า พระมหาอุราชต้องพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ จะเห็นว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นปรนัย แต่มนุษย์ที่บันทึกและถ่ายทอดมาถึงเรานั้นบันทึกแบบเป็นอัตนัย ผมจะไม่ถกเถียงว่าพงศาวดารของใครถูกต้อง เพราะมันคงจะต้องใช้เวลาศึกษาสันนิษฐานกันอีกหลายอัตนัยเลยทีเดียว แต่ที่ผมอยากจะนำเสนอก็ คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการบันทึกประวัติศาสตร์ ในสงครามผู้ชนะ คือ ผู้เขียนประวัติศาสตร์และเป็นพระเอกของเรื่องเสมอ และตัวเราเองก็เป็นพระเอกในประวัติศาสตร์ของเราเช่นกันครับ ดังนั้นเราจึงต้องมุ่งมั่นก้าวหน้าต่อไปให้สมศักดิ์ศรีของพระเอกครับ
ใช่แล้วละครับผม ประวัติศาสตร์ทักจะตกอยู่ในกำมือของผู้ถือปากกา
ตอบลบไม่ว่าจะเป็นคนแพ้หรือคนชนะ ถ้าทำตัวให้คนเขียนเขาหมั่นไส้ ภาพที่ออกมาย่อมไม่น่าดู ใช่ไหมหนอ?
(เพราะประวัติศาสตร์ที่เราเห็นทั่ว ๆ ไปมักเป็นแบบอัตนัยนั่นเอง)
ถ้าจะบอกว่าอยู่ในมือของคนเขียนคงไม่ถูก เพราะคนถือปืนกำลังขู่คนเขียน
ตอบลบเพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ประวัติศาสตร์จึงอยู่ในมือของคนที่ถือปืน 555+