วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, พระเจ้าหรือมนุษย์ ตอนจบ

พระเจ้าและมนุษย์เป็นผู้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์
                พระเจ้าทรงสร้างโดยเสรีเพื่อเผื่อแผ่ความดีของพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงรักสิ่งสร้างของพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงบังคับจิตใจของสิ่งสร้างที่มีเจตจำนง(กีรติ บุญเจือ, 2550 : 74-75)
                แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของศาสนาคริสต์ ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรี (Free Will) ดังนั้น แม้ว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดแผนการสำหรับสิ่งต่างๆ เอาไว้แล้ว แต่พระองค์ก็มิได้ทรงบังคับฝืนใจให้มนุษย์กระทำตาม แต่พระองค์เคารพในเสรีภาพของมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากการเรียกบุคคลต่างๆ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เพื่อให้ทำหน้าที่พิเศษ ดังเช่นการเลือกพระนางมารีย์ให้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า
                พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ  มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน’  เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน  ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู  เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา  เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย’  พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารีทูตสวรรค์ตอบว่า พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า  ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใคร ๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว  เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้’  พระนางมารีย์จึงตรัสว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิดแล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป’” (ลก 1:26-38)
                จะเห็นได้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงบังคับว่าพระนางมารีย์จะต้องเป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์ให้พระนางมารีย์ได้ทราบว่าพระองค์ประสงค์สิ่งใด และเป็นพระนางมารีย์เองที่ได้ทรงตอบรับแผนการของพระเจ้าด้วยพระทัยอิสระในการตั้งครรภ์แล้วให้กำเนิดพระบุตรของพระเจ้า นอกจากนี้หากพิจารณาดูในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลในหนังสือพันธสัญญาเดิมจะเห็นว่าพระเจ้าทรงเข้ามามีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยพระองค์ทรงมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของชาวอิสราเอลในยุคสมัยต่างๆ ดังนั้นหนังสือประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลจึงเป็นการบันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าทรงดำเนินร่วมกับพวกเขาในประวัติศาสตร์แห่งความรอด ซึ่งก็คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั่นเอง
                ดังนั้น พระเจ้าที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพูดถึง เป็นพระเจ้าที่ไม่เพียงแต่ตรัสเท่านั้น แต่ทรงกระทำด้วย ทรงเผยแสดงพระองค์เองทั้งด้วยการตรัสและการกระทำ พระองค์ทรงกระทำกิจการในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ถ้าพระองค์เพียงแต่ตรัส พระองค์อาจจะตรัสในความฝัน ในภาพนิมิต หรือในความคิดของผู้ฟังเลยก็ได้ หากพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น การตรัสของพระองค์ก็จะไม่เป็นประวัติศาสตร์ คืออยู่นอกประวัติศาสตร์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงกระทำด้วย พระองค์จึงเข้ามาในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องราวของมนุษย์ มาผจญภัยร่วมกับเรา ทั้งในศาสนายิวและศาสนาคริสต์ การเผยแสดงของพระเจ้าและความรอดพ้นจะไม่มีความหมายถ้าไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ศาสนาและผ่านทางประวัติศาสตร์ นั่นหมายความว่า เราจะไม่สามารถเข้าถึงกิจกรรมของพระเจ้าได้ ถ้าเราไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง (บรอดเดอริค เอส. พาบิลโล, 2550 : 17)

                ดังนั้น ในแนวคิดของศาสนาคริสต์ ประวัติศาสตร์จึงมิใช่ผลงานของพระเจ้าหรือของมนุษย์แต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นผลงานร่วมกันของพระเจ้าและมนุษย์


ภาพการแจ้งข่าวการบังเกิดของพระเยซูเจ้า
______________________________________________________________________________
อ้างอิง : กีรติ บุญเจือ. (2550). แก่นปรัชญายุคกลาง, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                บรอดเดอริค เอส. พาบิลโล. (2550). พระคัมภีร์ : ฝีพระหัตถ์พระเจ้า ฝีมือมนุษย์, พิมพ์ครั้งที่ 2. แปลโดย ประธาน ศรีดารุณศีล และ มนต์สิงห์ ไกรสมสุข. สมุทรปราการ : สตาร์บูม อินเตอร์พริ้นท์.

ใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, พระเจ้าหรือมนุษย์ ตอนที่ 2

มนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
            ตั้งแต่กรีกโบราณมาจนถึงสมัยกลาง มนุษย์เชื่อว่าเบื้อหลังของปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติมีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนดแผนการสำหรับสรรพสิ่ง ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจำชาติยุโรปส่วนใหญ่ ต่อมาในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับพระเจ้าน้อยลง เริ่มมีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและมีโอกาสแสดงทัศนะอย่างมีเสรีภาพมากขึ้น มนุษย์เริ่มย้อนกลับมามองดูตนเองและให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น จนเกิดเป็นแนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) มนุษย์เริ่มมีความคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กระทำ มนุษย์เท่านั้นที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมายด้วยสติปัญญาของมนุษย์เอง
                คาร์ล มาร์กซ์เป็นนักปรัชญาและนักปฏิวัติ เขามีพื้นฐานความคิดที่ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าจากการศึกษาแนวคิดของ เอปิคิวรุสนักปรัชญาสมัยกรีกโบราณที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกมีอยู่จริง แต่สนับสนุนทฤษฎีของเดมอคริตุสว่าโลกเกิดจากการรวมตัวกันของสสารขนาดเล็กที่เรียกว่าอะตอม แนวคิดนี้ทำให้คาร์ล มาร์กซ์ไม่สนใจแนวคิดเรื่องพรระเจ้าแต่สนใจความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยเฉพาะในแง่ของความเท่าเทียมกันของคนจนและคนรวย ดังที่สะท้อนในแนวคิดของเขาว่า
                แรงงาน คือพระเจ้า และแรงงานอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะครองโลก นอกจากนี้ตั้งแต่ดั้งเดิมมาพวกนายทุนเคยสอนไว้ว่า พระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในโลก อยู่เหนือโลก แต่เดี๋ยวนี้ เราต้องเอาพระเจ้าลงมาอยู่กับเรา คือ กลางๆ คนรวยต้องลดตัวมาเท่ากับคนจน และจะได้ดีด้วยการปฏิวัติโลกเท่านั้น’” (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545 : 225)
                แนวคิดนี้เป็นแนวคิดต่อต้านนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบคนจน และมองว่านายทุนใช้แนวคิดเรื่องพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการกดขี่คนจน แนวคิดต่อต้านพระเจ้าของมาร์กซ์ยังพบได้อีกในงานเขียนของเขาว่า
                ศาสนา คือ ยาเสพติดของมนุษย์ และเป็นเพียงความอ่อนแอและความฝันของมนุษย์ผู้ฟุ้งซ่าน แต่ที่จริงในความฝันอันเลื่อนลอยนั้นเราจะไม่พบตัวเราในชี่ว่าง หรือในสวรรค์เลย แต่เรากลับพบชีวิตบนดินในชีวิตจริง ความจริงการพึ่งศาสนาไม่สามารถช่วยให้รอดในชีวิตจริงได้ เพราะชีวิตจริงของพวกเราต้องพึ่งตนเอง ต้องพึ่งวัตถุ คือ อาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคและสิ่งจำเป็นอย่างอื่นที่มนุษย์ต้องการเพื่อความอยู่รอด และยิ่งไปกว่านั้นศาสนายังสอนให้เราเก็บตัวอยู่ในความอ้างว้างโดดเดี่ยว สอนให้เราหลุดพ้นไปคนเดียว หาความสุขส่วนตัว และพวกนายทุนยังเอาศาสนาไปเป็นเครื่องอบรมคนยากจน ให้หลงเชื่องมงายจะได้ลืมความจริงที่ว่าเราต้องเผชิญกับความร้อนหนาวและความยากลำบาก พร้อมกับความหิวโหย (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์, 2545 : 225)
                จุดประสงค์ในการทำงานของมนุษย์คือการพยายามเอาชนะความลำบากและความหิวโหย แต่ที่จริงในโลกแห่งความเห็นแก่ตัวและเอารัดอาเปรียบ พวกนายทุนพยายามสอนให้คนคิดว่า ทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาของพระเจ้า และสอนว่า การทำงานเป็นเพียงการลอกแบบพระเจ้าไม่ต้องหวังผลตอบแทนใดๆ ให้มาก และอย่าได้ยึดติดในทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เพื่อพวกเขาจะได้เอาเปรียบและครองครองทรัพย์สมบัติเอาไว้เอง
                ในทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ดูเหมือนว่าท่านปฏิเสธศาสนาทุกศาสนา แต่หากมองเพียงในแง่ของอเทวนิยมและการพยายามดิ้นรนเพียรทนของมนุษย์ตามที่คาร์ล มาร์กซ์ได้เสนอแนวคิดเอาไว้ ก็มีลักษณะที่คล้ายกับคำสอนของพุทธศาสนาอยู่บ้าง
                ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกองทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด

                หากมนุษย์มีแนวคิดอเทวนิยมที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเช่นเดียวกับคาร์ล มาร์กซ์ และคำสอนของพุทธศาสนา ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นมนุษย์นี่แหละที่เป็นพระเจ้าของโลกนี้และได้รังสรรค์ประวัติศาสตร์ขึ้นด้วยตัวมนุษย์เอง


คาร์ล มาร์กซ์
______________________________________________________________________________
อ้างอิง : ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์. (2545). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ 2, พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, พระเจ้าหรือมนุษย์ ตอนที่ 1

ใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, พระเจ้าหรือมนุษย์
Who Builds a History, God or Man?
                ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ดำเนินอยู่ในเวลาและสถานที่ มนุษย์ดำเนินชีวิตผ่านช่วงเวลามาเป็นเวลาหลายพันปีจนถึงปัจจุบันนี้ มนุษย์เดินเพียงลำพัง หรือมีพระเจ้าทรงเดินเคียงข้าง สิ่งนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่หากจะพิจารณาว่าระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าใครเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ ก็คงจะได้คำตอบที่แบ่งออกเป็น 3 แนวคิด คือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์, มนุษย์เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ และพระเจ้าและมนุษย์เป็นผู้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์

พระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
            แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างผู้ทรงสรรพานุภาพ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์จึงเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยเพราะ พระเจ้าทรงกำหนดทุกสิ่งไว้แล้วและพระองค์ทรงเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางที่ดึงดูดให้มนุษย์เคลื่อนเข้าไปหาพระองค์
                แนวคิดนี้เริ่มต้นจากแนวคิดทางเทววิทยาของอาริสโตเติลซึ่งอธิบายเรื่องพระเจ้าไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นจุดหมายปลายทางของสรรพสิ่ง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดแบบพรหมลิขิตนิยม (Fetalism and Determinism)
                พระเจ้าในปรัชญาของอาริสโตเติลเป็นผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยที่ตนเองไม่เคลื่อนไหว หากพระเจ้าเคลื่อนไหวก็แสดงว่าต้องมีเหตุอื่นมาทำให้พระองค์เคลื่อนไหว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีสาเหตุของเหตุต่อไปไม่รู้จบ อาริสโตเติลเสนอว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุแรกสุดของการเคลื่อนไหว พระเจ้าคือผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยที่ตนเองไม่เคลื่อนไหว (Unmoved Mover)
                อาริสโตเติลให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องนี้ไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) จักรวาลเคลื่อนไหวเป็นรูปวงกลมตลอดเวลา 2) สรรพสิ่งในจักรวาลเคลื่อนไหวก็เพราะมีเหตุภายนอกมากระทำให้เคลื่อนไหว 3) การสาวหาเหตุของเหตุต้องไปจบที่ปฐมเหตุ มิฉะนั้นก็จะเห็นการสาวหาเหตุย้อนกลับไปไม่รู้จบ 4) การสาวหาเหตุย้อนกลับไปไม่รู้จบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 5) ดังนั้นจึงต้องมีสาเหตุแรกสุดหรือปฐมเหตุแห่งการเคลื่อนไหวของจักรวาล ปฐมเหตุนั้นคือพระเจ้าผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยที่ตนเองไม่เคลื่อนไหว
                ในปรัชญาของอาริสโตเติล คำว่า การเคลื่อนไหวหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทุกประการ ไม่ว่าในเชิงปริมาณ คุณภาพหรือการเปลี่ยนสถานที่ เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงเคลื่อนไหว เหตุนั้นพระเจ้าจึงไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่อาริสโตเติลกล่าวว่า พระเจ้าทรงเป็นภาวะที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร ทรงมีชีวิตต่อเนื่องเป็นนิตย์ นั่นคือพระเจ้าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเพราะทรงเป็นแบบบริสุทธิ์ไม่เจือปนกับสสาร อาริสโตเติลเรียกพระเจ้าว่าภาวะที่เป็นเอง (Being Qua Being)
                ต่อมาคำถามที่ว่า พระเจ้าเป็นเหตุให้สรรพสิ่งในจักรวาลเคลื่อนไหวได้อย่างไร อาริสโตเติลตอบว่า พระเจ้าเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดสรรพสิ่งเข้าไปหา นั่นคือสรรพสิ่งปรารถนาที่จะเป็นแบบบริสุทธิ์เช่นเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าจึงเป็นตัวการที่ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยทรงทำหน้าที่เป็นจุดหมายปลายทางของสิ่งเหล่านั้น (พระราชวรมุณี, 2544 : 230-232)
                จากแนวคิดของอาริสโตเติลจะห็นได้ว่า ทุกสิ่งมีการเคลื่อนที่สู่จุดมุ่งหมายคือพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นทุกสิ่งจึงไม่มีเจตจำนงของตนเอง มีแต่เพียงความปรารถนาที่จะมุ่งสู่พระเจ้าผู้เป็นปฐมเหตุเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของศาสนอิสลามว่า
                มูฮัมหมัดสอนว่า โชคเคราะห์ของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้(ประจักษ์ ช่วยไล่, 2520 : 95)

                แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของศาสนาอิสลาม ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกสิ่งเอาไว้แล้ว มนุษย์เพียงแต่ก้าวเดินตามแผนการที่พระเจ้าทรงวางไว้ ไม่มีใครจะหนีพ้นจากแผนการของพระเจ้าได้ ทุกสิ่งที่มนุษย์กระทำนั้นมนุษย์ไม่ได้มีเจตจำนงเสรีที่จะกระทำ แต่กระทำเพราะพระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้แล้ว แนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดที่คล้ายกับว่า พระเจ้าเป็นผู้ประพันธ์บทละครให้มนุษย์แสดงตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ดังนั้นแนวคิดนี้จึงมองว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์แต่เพียงพระองค์เดียว

____________________________________________________________________________
อ้างอิง : ประจักษ์ ช่วยไล่. (2520). โครงสร้างประวัติศาสตร์โลก. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย.
               พระราชวรมุณี. (2544). ปรัชญากรีก : บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวันตก, พิมพ์ครั้งที่ 5.  กรุงเทพฯ: ศยาม.

ประวัติปรัชญาและการแสวงหาความจริง ตอนจบ

ปรัชญาสมัยใหม่ สมัยปัจจุบัน
            ในสมัยฟื้นฟูวิทยาการ มีผู้ที่ไม่เชื่อคำสอนของคริสต์ศาสนา เนื่องจากได้มีการฟื้นฟูวิชาการของกรีกและโรมัน ทำให้เกิดความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อในศาสนาแต่เดิมมา มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า จึงทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิดในรูปแบบที่หลากหลาย
                บรรยากาศในสมัยใหม่มีลักษณะที่สำคัญหรือลักษณะเด่นคือ มีเสรีภาพในการแสดงความคิด การวิจารณ์และการแสดงออกในด่านต่างๆ เช่น ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมีเสรีภาพในการค้นคว้าทางวิชาการอย่างเสรี เนื่องจากอำนาจของสถาบันทางศาสนาลดลง ไม่มีอิทธิพลครอบงำอย่างแต่ก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมัยฟื้นฟูวิทยาการ
                ในเรื่องของวิชาการ ซึ่งครอบคลุมถึงวิทยาศาสตร์และปรัชญานั้น ในยุคนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของการใช้เหตุผลในการแสวงหาความรู้ และเบนความสนใจจากสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมาศึกษาธรรมชาติรอบๆ ตัวมนุษย์ พยายามอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยอ้างถึงสาเหตุที่อยู่ในธรรมชาติ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่กล่าวถึงสาเหตุที่อยู่ในธรรมชาติ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่กล่าวถึงสาเหตุนอกเหนือธรรมชาติหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากนั้นยังถือว่า วิชาการหรือความรู้ในสาขาต่างๆ ที่ค้นคว้ากันขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีจุดหมายเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
                แนวคิดของปรัชญาสมัยใหม่ อาจจัดเป็นระบบที่สำคัญได้ 2 ระบบ คือ ระบบเหตุผลนิยมและระบบประจักษ์นิยม ซึ่งความคิดในแนวแรกนั้นเห็นว่า เหตุผลเป็นที่มาของความรู้ ส่วนระบบหลังมีความเชื่อว่า ความรู้ของเราได้มาจาก ประสบการณ์
                ลักษณะสำคัญของระบบเหตุผลนิยม นอกจากจะถือว่าเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญในการหาความรู้แล้ว ยังถือว่า ความจริงซึ่งเราสามารถรู้ได้ด้วยเหตุผลนั้น ย่อมจะต้องแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปร ทั้งนี้เพราะการแสวงหาความรู้ของเราไม่ได้ใช้แต่ประสบการณ์ แต่ ความจริงที่เรารู้ได้ด้วยเหตุผลนี้มันแฝงอยู่ในจิตของเราอยู่ก่อนแล้ว การใช้เหตุผลทำให้เรารู้ชัดถึง ความจริงอันนี้
                สำหรับระบบประจักษ์นิยมนั้น มีลักษณะที่สำคัญคือ ไม่เชื่อว่า ความจริงดังกล่าวนั้นแฝงอยู่ในจิตเรา ทั้งนี้เพราะพวกนี้เชื่อว่า จิตเหมือนกระดาษเปล่า ไม่มีสิ่งใดมาแอบแฝงอยู่ก่อน ความรู้ทั้งหลายนั้นได้จากประสาทสัมผัสหรือประสบการณ์
                นอกจาก 2 ระบบนี้แล้ว ก็ยังมีปรัชญาอีกระบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย นั่นคือระบบวิมัตินิยมและสัมพัธนิยมซึ่งมองว่าความจริงอยู่ที่อัตวิสัยของมนุษย์ (ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยา, 2529 : 7-8)

สรุป

                ปรัชญาตะวันตกมีพัฒนาการตามยุคสมัยตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่และจนมาถึงปัจจุบัน ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ปรัชญาล้วนมุ่งแสวงหาสิ่งเดียวกันคือ ความจริงซึ่งในแต่ละสมัยก็มีทัศนะเกี่ยวกับความจริงที่แตกต่างกัน เช่น สมัยกรีกยุคแรกเริ่มนั้นความจริงในทัศนะของนักปรัชญาคือปฐมธาตุซึ่งเป็นสสาร ในสมัยต่อมาจึงเริ่มมีแนวคิดว่าความจริงเป็นมโนคติซึ่งเป็นจิต และพัฒนาต่อมาถึงสมัยกลางที่ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์และมีความคิดไปในทางเดียวกันตามความเชื่อว่าความจริงสูงสุดคือพระเจ้า และต่อมาในสมัยใหม่จนถึงสมัยปัจจุบัน ความคิดเรื่องพระเจ้าเริ่มได้รับความนิยมน้อยลง แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ปรัชญาก็กลับมาสู่การแสวงหาความจริงตามทัศนะของนักปรัชญาแต่ละคนอย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่หากสังเกตดูจะพบว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ความจริงในทัศนะของนักปรัชญาก็แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มเสมอ คือ กลุ่มที่เชื่อว่า ความจริงเป็นสสาร ความจริงเป็นจิต และความจริงคือสิ่งที่มนุษย์ตัดสินโดยอัตวิสัยส่วนบุคคล ตั้งแต่สมัยกรีกจนถึงปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความจริงก็ยังคงดำเนินอยู่และพัฒนาการต่อเนื่องอยู่ในกลุ่มแนวความคิดเหล่านี้ 

_____________________________________________________________________________
อ้างอิง : ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยา. (2529). ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ประวัติปรัชญาและการแสวงหาความจริง ตอนที่ 2

ปรัชญาสมัยกลาง
            ปรัชญาสมัยกลาง หมายถึง ปรัชญาสมัยกลางของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรัชญาของชาวคริสต์ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ช่วงเวลาของปรัชญาสมัยกลางคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาของปรัชญาสมัยกรีกโบราณอยู่ประมาณ 5 ศตวรรษ เพราะปรัชญาสมัยกรีกโบราณสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 529 เมื่อพระจักรพรรดิยุสติเนียน (Justinian) ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสำนักปรัชญาทุกแห่งที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ทว่าปรัชญาคริสต์เริ่มถือกำเนิดมาจากคำสอนของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเริ่มประกาศศาสนาคริสต์ในปี ค.ศ. 28 จึงนับได้ว่าปรัชญายุคกลางเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปีนั้น ระหว่างปี ค.ศ. 28-529 นักปรัชญาคนใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จัดอยู่ในปรัชญาสมัยกลาง นักปรัชญาคนใดไม่นับถือศาสนาคริสต์ก็จัดอยู่ในสมัยกรีกโบราณ การจัดแบ่งเช่นนี้ก็เพื่อความสะดวกในการศึกษาปัญหาปรัชญาและตามปกติก็ถือว่าปรัชญาสมัยกลางเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1 เพื่อง่ายต่อการจดจำ (กีรติ บุญเจือ, 2550 : 2)
                ปรัชญาสมัยกลางมุ่งสู่การแสวงหาความจริงสูงสุดหนึ่งเดียว คือ พระเจ้า ปัญหาแกนของปรัชญาสมัยกลางจึงเป็นเรื่องของการประนีประนอมปรัชญากรีกกับคริสตศาสนา ที่มีปัญหาเช่นนี้ก็เพราะว่า ในบรรดาผู้รับนับถือศริสตศาสนาในขณะนั้นมีจำนวนมากที่เป้นนักปรัชญา และปรัชญาที่รู้จักกันในยุโรปขณะนั้นก็คือปรัชญากรีก ในเมื่อปรัชญากรีกก็รัก คริสต์ศาสนาก็รัก ไม่อยากเห็นสิ่งที่ตนรักทั้งสองมีข้อขัดแย้งกัน จึงต้องหาวิธีอธิบายให้กลมกลืนกันโดยไม่ทำลายกัน ทั้งนี้ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1) เพื่อความสบายใจของตนเอง 2) เพื่อสามารถตอบโต้ผู้ข้องใจในคำสอนของศาสนาได้ 3) เพื่อชักชวนเพื่อนนักปรัชญาให้สนใจศาสนาเดียวกับตน (กีรติ บุญเจือ, 2550 : 3)
                คำตอบของนักปรัชญาคริสต์ต่อปัญหาดังกล่าวพอจะแยกออกได้เป็น 3 คำตอบ คือ
                1) ไม่มีการประนีประนอม ศาสนาประเสริฐกว่าปรัชญากรีกอย่างเทียบกันไม่ได้ ผู้มีศรัทธาต่อศาสนาแล้วไม่ควรมีความสนใจต่อปรัชญากรีก ไม่ว่าของใครทั้งสิ้น ความสนใจปรัชญาทำให้เสียเวลาบำเพ็ญบุญกุศล และอาจทำให้ใจไขว้เขว และลดหย่อนศรัทธาต่อศาสนาลงก็ได้ ผู้คิดเช่นนี้มีอยู่ประปรายในหมู่นักเทววิทยาประเภทใจแคบและหัวรุนแรง ชาวบ้านส่วนมากจะนิยมชมชอบในความคิดนี้เพราะปลุก เร้าศรัทธาได้ร้อนรนดี
                2) ประนีประนอมโดยใช้ปรัชญาของพลาโต้อธิบายศาสนาารกระทำเช่นนี้ค่อยเปนค่อยไป ในชั้นแรกทำกันอย่างไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่ กว่าจะมั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่งก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร โดยมีนักคิดที่สำคัญคือนักบุญออกัสติน (St. Augustine 354 - 430)

                3) ประนีประนอมโดยใช้ปรัชญาของอาริสโตเติลอธิบายศาสนา ในชั้นแรกปรัชญาของอาริสโตเติลถูกเพ่งเล็งว่าเป็นระบบปรัชญาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาคริสต์ การศึกษาปรัชญาของอาริสโตเติลจึงถือกันว่าเป็นอันตรายต่อศรัทธา ต่อมาเมื่อเกิดสงครามครูเสด ชาวคริสต์บางคนได้เห็นตัวอย่างจากนักปรัชญามุสลิมว่าสามารถใช้ปรัชญาของอาริสโตเติลอธิบายศาสนาอิสลามได้ดีกว่าปรัชญาของพลาโต้ นักปรัชญาคริสต์จึงลองดูบ้าง ในตอนแรกถูกต่อต้านอย่างหนัก จนกระทั่งนักบุญโทมัส อาไควนัส (St. Thomas Aquinas 1225 -1274) สามารถนำปรัชญาของอาริสโตเติลมาอธิบายศาสนาคริสต์ได้สำเร็จ จึงกลายเป็นแบบอย่างของการอธิบายศาสนาคริสต์ด้วยปรัชญาต่อมาจนถึงปัจจุบัน (กีรติ บุญเจือ, 2550 : 3-4)

นักบุญออกัสตินและนักบุญมอนิกา



นักบุญโทมัส อาไควนัส

ตอนต่อไปตอนสุดท้ายแล้วครับ กับปรัชญาสมัยใหม่ - สมัยปัจจุบัน
____________________________________________________________________________
อ้างอิง : กีรติ บุญเจือ. (2550). แก่นปรัชญายุคกลาง, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประวัติปรัชญาและการแสวงหาความจริง ตอนที่ 1

ประวัติปรัชญาและการแสวงหาความจริง
(History of Philosophy : Searching for truth)
                ปรัชญาเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกสาขาหนึ่ง ปรัชญาถือเป็นศาสตร์แรกเริ่ม เป็นศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง มีศาสตร์ที่แตกแขนงออกมาจากปรัชญามากมาย ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าปรัชญาเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร ใครเป็นผู้คิดค้นศาสตร์นี้ขึ้น แต่เท่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปรัชญาเกิดขึ้นในสมัยกรีกราว 600 ปีก่อนคริสตกาล

ปรัชญาสมัยกรีก
            ชาวกรีกเป็นชนเผ่ามหัศจรรย์ผู้มีอัจฉริยภาพในวิทยาการหลายแขนง อารยธรรมกรีกเป็นมรดกล้ำค่าของโลกที่ชาวยุโรป และอเมริกานำมาประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จงดงาม โลกตะวันตกแผ่รัศมีทับโลกซีกตะวันออกได้ก็เพราะชาวยุโรปรู้จักพัฒนาวิทยาศาสตร์ การเมือง ศิลปะ และวรรณกรรมที่ตนรับสืบทอดมาจากชาวกรีก  ไม่เพียงเท่านั้น ชาวยุโรปยังทรงภูมิปัญญาสูงส่งไม่แพ้ชาวจีนและอินเดีย ทั้งนี้เพราะอิทธิพลของปรัชญากรีก ปรัชญาตะวันตกสมัยปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการสืบเนื่องมาจากปรัชญากรีกนี้เอง (พระราชวรมุณี, 2544 : 17)
                ชาวกรีกที่กำลังพูดถึงนี้คือ ประชาชนเผ่าหนึ่งผู้เคยใช้ชีวิตจริงอยู่บนพื้นพิภพเมื่อประมาณสามพันปีมาแล้ว นครรัฐกรีกกระจัดกระจายอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันได้กลายเป็นพรมแดนของประเทศตุรกี กรีก และอิตาลี ชาวกรีกสมัยนั้นไม่ได้รวมกลุ่มเป็นประเทศเดียวกัน หากแต่แยกกันอยู่เป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ต่อมาเมื่อเกิดศึกสงครามกับเปอร์เซีย นครรัฐต่างๆ จึงจับมือกันทำสงครามกับผู้รุกรานเป็นคราวๆ ไป บรรดานครรัฐเหล่านั้น เอเธนส์และสปาตาร์ทรงเกียรติภูมิโดดเด่นเป็นเอกเหนือนครรัฐทั้งหลาย (พระเมธีธรรมาภรณ์, 2532 : 17)
                ปรัชญากรีก หมายถึงปรัชญาของชาวกรีกผู้มีภูมิลำเนาอยู่ตามนครรัฐต่างๆ ประวัติปรัชญากรีก เริ่มต้นในราวปี 600 ก่อนคริสตกาล อันเป็นเวลาที่ ธาเลส นักปรัชญากรีกคนแกเริ่มเผยแพร่ปรัชญาของเขา ยุคปรัชญากรีกไปสิ้นสุดเอาในปี ค.ศ. 529 เมื่อพระจักรพรรดิยุสติเนียน (Justinian) ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสำนักปรัชญาทุกแห่งที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ รวมเวลาที่ปรัชญากรีกโบราณมีโอกาสพัฒนาติดต่อกันได้ถึง 1,129 ปี (พระราชวรมุณี, 2544 : 30-31)
                ปรัชญาสมัยกรีกแบ่งออกเป็น 3 สมัยด้วยกัน คือ
                1) สมัยเริ่มต้น นับตั้งแต่ธาเลสเริ่มเผยแพร่ปรัชญา จนถึงการปรากฏตัวของโสคราตีส (ประมาณ ก.ค.ศ. 585 - 450) ในยุคสมัยนี้นักปรัชญามุ่งแสวงหาความจริงในเรื่องของ ปฐมธาตุว่าธาตุแรกเริ่มของโลกนี้คืออะไร เช่น ธาเลส เสนอแนวคิดว่า ปฐมธาตุคือน้ำ, อานักซิเมเนส เสนอว่า ปฐมธาตุคืออากาศ, พิธากอรัส เสนอว่า จำนวนเลข (Number) เป็นลักษณะสำคัญของสรรพสิ่งในโลก, เฮราคลีตุส เสนอเรื่องความเปลี่ยนแปลงและเสนอว่าปฐมธาตุคือไฟ, มาร์มีนีเดส เสนอว่า ปฐมธาตุคือภาวะ (Being) และเดมอครีตุส เสนอว่า ปฐมธาตุคืออะตอม (Atom) เป็นต้น
                2) สมัยรุ่งเรือง นับตั้งแต่การปรากฏตัวของโสคราตีส จนถึงมรณกรรมของอาริสโตเติล (ประมาณ ก.ค.ศ. 450 - 322) โปรแทกอรัสแห่งโสฟิสต์เห็นว่าแนวคิดเรื่องปฐมธาตุมีความหลากหลายตามแต่ทัศนะของแต่ละคน จึงเสนอแนวคิดว่า มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง(Man is the measure of all things.) ความจริงของสิ่งต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินของแต่ละคน ต่อมาโสคราตีสเสนอแนวคิดว่า ความจริงต้องมีลักษณะเป็นสากลซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของโสฟิสต์ แนวคิดของโสคราตีสมีอิทธิพลต่อพลาโต้ลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างมาก พลาโต้เสนอแนวคิดว่าความจริงคือ มโนคติ (Idea) หรือแบบ (Form) ซึ่งอยู่ในโลกแห่งมโนคติ สิ่งที่อยู่บนโลกนี้เป็นเพียงสิ่งจำลองจากมโนคติเท่านั้น จากแนวคิดนี้อาริสโตเติ้ลลูกศิษย์ของท่านมีแนวคิดเหมือนกันคือ แบบเป็นสาระ (Substance) หรือสารัตถะ (Essence) ของสรรพสิ่ง แต่ท่านก็แย้งว่า ถ้ามีเพียงสิ่งสากลที่อยู่ในโลกมโนคติเท่านั้นที่เป็นจริง ก็จะอธิบายเรื่องการมีอยู่ของสิ่งเฉพาะไม่ได้ ดังนั้นโลกแห่งมโนคติจึงไม่มีจริงและความจริงของสรรพสิ่งหรือแบบนั้นก็อยู่ภายในสิ่งเฉพาะนั่นเอง

                3) สมัยเสื่อม นับตั้งแต่มรณกรรมของอาริสโตเติล จนถึงการปิดสำนักปรัชญาที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์ (ประมาณ ก.ค.ศ. 322 - ค.ศ. 529) ในสมัยนี้ไม่มีแนวคิดปรัชญาใหม่มากนัก เป็นการรับอิทธิพลทางความคิดมาจากนักปรัชญาในสมัยก่อนหน้านี้ เช่น เอปิคิวรุสเห็นด้วยกับเดมอคริตุสว่าปฐมธาตุคืออะตอม, สำนักสโตอิกเชื่อว่าปฐมธาตุคือไฟเช่นเดียวกับเฮราคลีตุส, โพลตินุสนำเอาแนวคิดของพลาโต้มาต่อยอดว่าความจริงสูงสุดคือ พระเจ้า หรือ เอกัตตะ (The One) ซึ่งอยู่ในอีกโลกหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในโลกนี้เป็นสิ่งที่ล้นออกมาจากเอกัตตะ


ภาพพลาโต้ (ซ้าย) และ อาริสโตเติล (ขวา) 
ตอนหน้าเดี๋ยวมาต่อที่ปรัชญาสมัยกลางครับ กลัวว่ายาวไปเดี๋ยวคนไทยไม่อ่าน :)
____________________________________________________________________________
อ้างอิง : พระเมธีธรรมาภรณ์. (2532). ปรัชญากรีกโบราณ ตอนที่ 1-2. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.
               พระราชวรมุณี. (2544). ปรัชญากรีก : บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวันตก, พิมพ์ครั้งที่ 5.  กรุงเทพฯ: ศยาม.

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอล : ประวัติศาสตร์ที่คนทั่วโลกศึกษากันมากที่สุด



   หากจะถามว่าประวัติศาสตร์ของชาติใดที่คนให้ความสนใจศึกษากันมากที่สุด คงไม่พ้นประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลครับ เพราะสิ่งที่ชาวอิสราเอลเรียกว่าประวัติศาสตร์ของพวกเขาก็คือ "พระคัมภีร์ไบเบิ้ล" ครับ

     บางคนอาจจะสงสัยว่า เฮ้ย! พระคัมภีร์ไบเบิ้ลมันเป็นหนังสือคำสอนศาสนาคริสต์ไม่ใช่หรือ? แล้วมันจะเป็นประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอลได้อย่างไรกัน? 

     คำตอบก็คือ สำหรับชาวอิสราเอล ประวิตศาสตร์ของพวกเขาไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์ที่ดำเนินไปตามวิถีของมนุษย์เท่านั้น แต่พระเจ้าทรงร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาด้วย ประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลจึงมีลักษณะเฉพาะที่พระเอกของเรื่องดูเหมือนว่าจะเป็นพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นชนชาติอิสราเอลเสียอีก

    ชาวอิสราเอลเชื่อว่าพวกเขาเป้นชนชาติพิเศษที่ได้รับเลือกสรรค์จากพระเจ้าให้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ และพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ด้วยดีด้วยพระพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์ของพวกเขาก็ คือ เรื่องราวของพระเจ้าผู้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดในยุคสมัยต่างๆ นั่นเองครับ

     จากประวัติศาสตร์ของชาติอิสราเอล พระเมสสิยาห์ที่ชาวอิสราเอลรอคอยเพื่อปลดปล่อยพวกเขา และจะสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นใหม่ ก็ได้บังเกิดมา คือ "พระเยซู" พระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์มาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ


ประวัติศาสตร์ : ปรนัย หรือ อัตนัย

     หลังจากที่โพสต์แนวจิตวิทยาไป 2 บทความแล้ว คราวนี้ขอโพสต์แนวปรัชญาบ้างนะครับ เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดว่าบล็อกนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับจิตวิทยาไปแล้ว

     ก่อนอื่นผมขอนิยามคำศัพท์ที่จะใช้ในโพสต์นี้ก่อนนะครับ เอาเป็นความหมายง่ายๆ ที่เข้าใจกันได้ทั่วไปแล้วกันนะครับน่าจะดีกว่าความหมายตามพจนานุกรมปรัชญาครับ

     อัตนัย (Subjective) หมายถึง ความคิดเห็นส่วนบุคคล
     ปรนัย (Objective) หมายถึง สิ่งที่เป็นสากล เป็นส่วนรวม

     เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ทุกท่านคิดว่าเป็นอัตนัยหรือปรนัยครับ? ผมเชื่อว่าหลายท่านคงตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าเป็นปรนัย เพราะว่าเมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ (Space and Time) สิ่งนั้นไม่ได้จำกัดว่าเกิดขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียว แต่เราต้องมองกว้างกว่านั้น แม้ว่าสถานที่ที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอาจจะเป็นในบ้านหลังเล็กๆ ปลายนา ไม่มีใครรู้จัก แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์นั้นก็เกิดบนโลกใบนี้ เกิดในจักรวาลนี้ ไม่น้อยไปกว่าเกิดในบ้านหลังนั้นเช่นกันครับ ดังนั้นแน่นอนว่าธรรมชาติของประวัติศาสตร์ย่อมต้องเป็นปรนัยแน่ๆ

     คราวนี้ผมจะขอพูดถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นอัตนัยบ้าง หลายท่านอาจสงสัยว่า อ้าว? เมื่อกี้เพิ่งจะบอกเองว่าประวัติศาสตร์เป็นปรนัย คราวนี้มาบอกว่าเป็นอัตนัยอีก? ผมจะอธิบายว่าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเป็นปรนัยจริงๆ ครับ แต่ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันมาเนี่ยเป็นอัตนัย งงไหมครับ?

    วิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนในห้องเรียนนั้นเป็นอัตนัย เพราะเป็นการนำเสนอเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นโดยมีทั้งข้อเท็จจริงและส่วนที่เป็น "ความคิดส่วนบุคคล" ของนักประวัติศาสตร์ที่บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ เอาที่เห้นกันชัดๆ นะครับ เหตุการณ์ที่พระมหาอุปราชของพม่าสิ้นพระชนม์ในตอนที่สู้รบกับสมเด็จพระนเรศวร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือ พระมหาอุราชสิ้นพระชนม์ แต่สิ่งที่ต่างกันคือพงศาวดารที่บันทึกของทั้ง 2 ประเทศครับ พงศาวดารไทยบันทึกว่าพระนเรศวรทรงทำสงครามยุทธหัตถี ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กใช่ไหมครับ แต่ในพงศาวดารพม่าบันทึกว่า พระมหาอุราชต้องพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ จะเห็นว่าประวัติศาสตร์นั้นเป็นปรนัย แต่มนุษย์ที่บันทึกและถ่ายทอดมาถึงเรานั้นบันทึกแบบเป็นอัตนัย ผมจะไม่ถกเถียงว่าพงศาวดารของใครถูกต้อง เพราะมันคงจะต้องใช้เวลาศึกษาสันนิษฐานกันอีกหลายอัตนัยเลยทีเดียว แต่ที่ผมอยากจะนำเสนอก็ คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของการบันทึกประวัติศาสตร์ ในสงครามผู้ชนะ คือ ผู้เขียนประวัติศาสตร์และเป็นพระเอกของเรื่องเสมอ และตัวเราเองก็เป็นพระเอกในประวัติศาสตร์ของเราเช่นกันครับ ดังนั้นเราจึงต้องมุ่งมั่นก้าวหน้าต่อไปให้สมศักดิ์ศรีของพระเอกครับ



ซิกมันด์ ฟรอยด์ : นักจิตวิทยาแห่งประวัติศาสตร์ (2)


       ตอนที่แล้วผมได้พูดถึงแนวคิดจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ เรื่องจิตไร้สำนึก จิตสำนึก และจิตก่อนสำนึก และเรื่องของ Id, Ego และ Super Ego ที่เป็นพื้นฐานแนวคิดเรื่องพัฒนาการของบุคลิกภาพไปแล้ว คราวนี้ผมจะขอพูดต่อเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งเช่นเดียวกัน นี่เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยประสบการณ์ในอดีต กลายเป็นบุคลิกภาพในปัจจุบัน ผมอยากเชิญชวนทุกท่านให้ลองดูกันครับว่าในชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กของท่าน ท่านมีอาการ ติดขั้น (Fixation) เพราะพัฒนาการขั้นไหนไม่สมบูรณ์หรือเปล่า เรียกได้ว่า อ่านบล็อกผมแล้วอย่างน้อยได้ทั้งความรู้ ทั้งการประยุกต์ใ้ช้ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

                 ฟรอยด์ได้อภิปรายถึงขั้นตอนทั้ง 5 ดังต่อไปนี้
                1.  ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะปาก (Oral Stage)
         ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่คลอดจนถึง 18 เดือน ทารกมีความสุขในชีวิตโดยทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยปาก เช่น การดูด เคี้ยว กัด เล่นด้วยเสียง ผู้ที่พัฒนาการขั้นนี้ไม่สมบูรณ์ในช่วงวัยนี้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงชอบแสวงหาความสุขด้วยปากอยู่อีก เช่น ชอบกินจุบจิบ ชอบพูดคุย ชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง ชอบสูบบุหรี่ เป็นต้น

             2.  ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะทวารหนัก (Anal Stage)
          ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ 18 เดือนถึง 3 ขวบ เป็นช่วงที่ทารกหาความสุขโดยทำกิจกรรมที่ใช้ทวารหนัก เป็นระยะที่เด็กเริ่มการฝึกการขับถ่าย การขับถ่ายนี้เป็นการจัดสาเหตุของความรู้สึกไม่สบายใจ เด็กจะรู้จักอดกลั้นก่อนที่จะได้รับความสุขอันเกิดจากการถ่ายเทความตึงเครียดที่อวัยวะขับถ่ายทิ้งไป วิธีการฝึกขับถ่ายและความรู้สึกของแม่ที่มีต่อเด็กเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าแม่ใช้วิธีฝึกอย่างละมุนละม่อม ชักจูงลูกให้ขับถ่ายบ้าง ชมเชยลูกเมื่อลูกถ่ายเรียบร้อย เด็กจะเกิดความภูมิใจเมื่อทำได้ตามที่แม่ต้องการ ตรงกันข้ามถ้าแม่ใช้วิธีการเข้มงวดกับลูกมากๆ เด็กจะเกิดภาวะติดขั้น เด็กนั้นจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพเป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้พิถีพิถัน ตระหนี่ รักความสะอาดอย่างมาก และชอบหักหาญให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวด (Sadism)

             3.  ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ (Phallic Stage)
         ช่วงนี้อายุโดยประมาณตั้งแต่ 3 ถึง 6 ปี เด็กมีความพึงใจทำกิจกรรมที่เนื่องด้วยอวัยวะเพศ เช่น เล่นกับอวัยวะเพศของตน กิจกรรมนี้อาจทำให้พ่อแม่ตกใจ ควรทำความเข้าใจเสียว่าเป็นการเล่นขั้นหนึ่งในการพัฒนาการตามธรรมชาติ เมื่ออายผ่านพ้นไปแล้วเด็กก็เลิกเล่น การเล่นอวัยวะเพศมีผลต่อพัฒนาการด้านอื่น ได้แก่ การสำนึกรู้ถึงเพศของตนอย่างลึกซึ้งว่าตนเป็นหญิงหรือชาย ต่อไปก็เลียนบทบาททางเพศ คือเด็กเลียนแบบผู้ใหญ่เพศเดียวกับตน ซึ่งตนรู้สึกรัก ใกล้ชิดสนิทสนม ถ้าตัวแบบนั้นเป็นพ่อแม่ของตน จะเป็นยุค เด็กชาย ติดแม่และ เอาอย่างพ่อเป็นพิเศษ ในเพศกลับกัน เด็กหญิง ติดพ่อและ เอาอย่างแม่เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน ช่วงเวลานี้ฟรอยด์เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตสำหรับเลียนบทบาททางเพศให้คล้อยตามเพศของตนเอง เด็กหญิงเด็กชายที่ละเลยการเลียนแบบให้ถูกแนวในระยะเวลานี้ จะโตเป็นหญิงสาวชายหนุ่มที่นิยมแบบบทบาททางเพศตรงข้ามกับเพศทางกายจริงของตน ฟรอยด์ยังเชื่อว่าการรู้จักผูกรักกับเพศตรงข้ามมีต้นกำเนิดในช่วงเวลานี้เช่นกัน และเขายังอธิบายว่า ปมเอดิปัส(Oedipus Complex) เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ พร้อมๆ กับการเลียนบทบาททางเพศ เด็กเริ่มพัฒนาความก้าวร้าว อยากเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มแสวงหาอัตลักษณ์แห่งตน (Self Identity)

            4.  ขั้นแสวงหาความสุขจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว (Latency Stage)
        ช่วงนี้อยู่ระหว่างอายุประมาณ 6 ถึง 11 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาพักพัฒนาทักษะใหม่ พัฒนาการส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ระยะเวลานี้เด็กเริ่มพัฒนาชีวิตสังคมนอกครอบครัว ดังนั้น จึงแสวงหาความพึงพอใจจากการติดต่อกับผู้คนรอบตัวและเพื่อนร่วมวัย เพื่อนสนิทเป็นคนเพศเดียวกันมากกว่าคนต่างเพศ ทั้งนี้ เป็นการสืบเนื่องจากการเลียนและเรียนบทบาททางเพศต่อออกไปจากขั้นที่ 3 ที่กล่าวมาแล้ว

            5.  ขั้นแสวงหาความสุขจากแรงกระตุ้นของทุติยภูมิทางเพศ (Genital Stage)
           เด็กอายุประมาณ 12 ถึง 20 ปี ย่างเข้าสู่วับรุ่นและเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะทุติยภูมิทางเพศบรรลุวุฒิภาวะสมบูรณ์ทำงานได้เต็มที่ (เช่น เด็กหญิงมีระดู หน้าอกขยาย รังไข่ผลิตไข่เพื่อสืบพันธุ์ เด็กชายถึงวัยผลิตน้ำอสุจิ ฯลฯ) เด็กทั้งสองเพศมีความสนใจคบหาสมาคม รักใคร่ผูกพันกับเพื่อนต่างเพศ ขณะเดียวกันก็พยายามประพฤติตนให้สมบทบาททางเพศ โดยเลียนแบบคนเพศเดียวกันที่ตนนิยม ระยะนี้มักเห็นเด่นชัดว่าเด็กคนใดแสดงบทบาททางเพศผิดปกติ พวกนี้ได้แก่ผู้นิยมแสดงบทบาททางเพศตรงข้ามเพศจริงของตน อีกพวกหนึ่งคือเด็กที่ไม่มีเยื่อใยต้องใจบุคคลต่างเพศ หรือเป็นเด็กเลียนแบบบทบาททางเพศจากคนต้นแบบที่ผิด ฟรอยด์เชื่อว่าหากเด็กมีพัฒนาการในขั้นที่ 1-3 ที่สมบูรณ์จะทำให้สามารถผ่านปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นที่ 5 ได้ง่ายขึ้น


       เมื่อเด็กพัฒนาถึงขั้นที่ห้าแล้ว มิได้หมายความว่าเลิกแสวงหาความสุขจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ทางปาก ทางทวารหนัก ที่ผ่านมาแล้วในวัยต้น ยังอาจแสวงหาความสุขแบบนั้นต่อไป แต่ลดความติดใจและความเข้มข้นลง ผู้ที่พัฒนาตามขั้นไม่สมบูรณ์ก็เกิดภาวะติดขั้นอยู่มากน้อยต่างกันไปในรายบุคคล และอาจเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมแอบแฝงรูปแบบต่างๆ หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอย่างอื่นทางอ้อม เป็นไปได้ทั้งพฤติกรรมทางบวกและทางลบ

    บุคคลใดพัฒนาไปตามขั้นตอนดังกล่าวด้วยดี ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ หากไม่เป็นไปดังกล่าวก็จะเกิดสภาวะ ติดขั้น(Fixation) ซึ่งเป็นการติดข้องอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่งหรือหลายขั้นก็ได้ ผู้ใดติดข้องอยู่ในวัยใด ขั้นใด ก็จะยังคงแสวงหาความพอใจในขั้นที่ติดข้องอยู่ต่อไป แม้ว่าจะผ่านวัยนั้นๆ ที่เป็นไปตามขั้นตอนมาแล้ว สภาพ ติดขั้น มีผลต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพในแง่ลบ แต่บุคคลสามารถเปลี่ยนพลังนี้ให้เป็นบวกได้หากเขารู้จักปรับตัว

           เป็นอย่างไรบ้างครับอ่านจบแล้วพอจะทราบหรือยังครับว่าบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมบางอย่างของท่านมันมีที่มาโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ตนนี้รู้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ ยอมรับและพยายามแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อจะได้มีชีวิตที่มีความสุขครับ