พระเจ้าและมนุษย์เป็นผู้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์
“พระเจ้าทรงสร้างโดยเสรีเพื่อเผื่อแผ่ความดีของพระองค์ ดังนั้น
พระองค์จึงทรงรักสิ่งสร้างของพระองค์
แต่ก็ไม่ทรงบังคับจิตใจของสิ่งสร้างที่มีเจตจำนง” (กีรติ
บุญเจือ, 2550 : 74-75)
แนวคิดนี้เป็นแนวคิดของศาสนาคริสต์
ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรี (Free
Will) ดังนั้น แม้ว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดแผนการสำหรับสิ่งต่างๆ
เอาไว้แล้ว แต่พระองค์ก็มิได้ทรงบังคับฝืนใจให้มนุษย์กระทำตาม
แต่พระองค์เคารพในเสรีภาพของมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากการเรียกบุคคลต่างๆ
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เพื่อให้ทำหน้าที่พิเศษ ดังเช่นการเลือกพระนางมารีย์ให้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า
“พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ
มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ
ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์
ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า ‘จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน
พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน’
เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้
พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร
แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า ‘มารีย์ อย่ากลัวเลย
ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน
ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู
เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์
พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา
เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย’ พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า ‘เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี’ ทูตสวรรค์ตอบว่า ‘พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน
เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว
ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใคร ๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้’ พระนางมารีย์จึงตรัสว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป’” (ลก 1:26-38)
จะเห็นได้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงบังคับว่าพระนางมารีย์จะต้องเป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า
แต่พระองค์ทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์ให้พระนางมารีย์ได้ทราบว่าพระองค์ประสงค์สิ่งใด
และเป็นพระนางมารีย์เองที่ได้ทรงตอบรับแผนการของพระเจ้าด้วยพระทัยอิสระในการตั้งครรภ์แล้วให้กำเนิดพระบุตรของพระเจ้า
นอกจากนี้หากพิจารณาดูในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลในหนังสือพันธสัญญาเดิมจะเห็นว่าพระเจ้าทรงเข้ามามีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์
โดยพระองค์ทรงมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของชาวอิสราเอลในยุคสมัยต่างๆ
ดังนั้นหนังสือประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลจึงเป็นการบันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าทรงดำเนินร่วมกับพวกเขาในประวัติศาสตร์แห่งความรอด
ซึ่งก็คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั่นเอง
ดังนั้น
พระเจ้าที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพูดถึง เป็นพระเจ้าที่ไม่เพียงแต่ตรัสเท่านั้น
แต่ทรงกระทำด้วย ทรงเผยแสดงพระองค์เองทั้งด้วยการตรัสและการกระทำ
พระองค์ทรงกระทำกิจการในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ถ้าพระองค์เพียงแต่ตรัส
พระองค์อาจจะตรัสในความฝัน ในภาพนิมิต หรือในความคิดของผู้ฟังเลยก็ได้
หากพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น การตรัสของพระองค์ก็จะไม่เป็นประวัติศาสตร์
คืออยู่นอกประวัติศาสตร์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงกระทำด้วย
พระองค์จึงเข้ามาในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องราวของมนุษย์ มาผจญภัยร่วมกับเรา
ทั้งในศาสนายิวและศาสนาคริสต์ การเผยแสดงของพระเจ้าและความรอดพ้นจะไม่มีความหมายถ้าไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ศาสนาและผ่านทางประวัติศาสตร์
นั่นหมายความว่า เราจะไม่สามารถเข้าถึงกิจกรรมของพระเจ้าได้
ถ้าเราไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง (บรอดเดอริค เอส.
พาบิลโล, 2550 : 17)
ดังนั้น ในแนวคิดของศาสนาคริสต์
ประวัติศาสตร์จึงมิใช่ผลงานของพระเจ้าหรือของมนุษย์แต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นผลงานร่วมกันของพระเจ้าและมนุษย์
ภาพการแจ้งข่าวการบังเกิดของพระเยซูเจ้า
______________________________________________________________________________
อ้างอิง : กีรติ บุญเจือ. (2550). แก่นปรัชญายุคกลาง,
พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บรอดเดอริค เอส. พาบิลโล. (2550). พระคัมภีร์ :
ฝีพระหัตถ์พระเจ้า ฝีมือมนุษย์, พิมพ์ครั้งที่ 2. แปลโดย ประธาน
ศรีดารุณศีล และ มนต์สิงห์ ไกรสมสุข. สมุทรปราการ : สตาร์บูม อินเตอร์พริ้นท์.