วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประสบการณ์เกี่ยวกับกาลเวลาของฉัน

แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป...แต่มิตรภาพของลูกผู้ชายไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

          ในสมัยเด็กๆ ผมเรียนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดปราจีนบุรี สมัยนั้นผมถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มเด็กเรียน (ถึงขั้นเนิดเลยครับ ไร้เดียงสามากๆ) ทำให้สิ่งที่ขาดไปในวัยเด็กของผม คือ การเล่นซนระคนแสบแบบที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันเขาเล่นกัน แต่ชีวิตในวัยเด็กของผมก็ไม่ถือว่าน่าเบื่อสักทีเดียว ผมก็มีเพื่อนกลุ่มเด็กเรียนด้วยกันนี่แหละสัก 3-4 คน ที่ทุกวันเราจะมานั่งจับกลุ่มคุยกันตอนช่วงพักกลางวัน ไม่ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่

          วันหนึ่ง(ผมเองก็จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไร เดือนอะไร)ตอนที่ผมอยู่ชั้นป.5 ขณะที่ผมนั่งคุยเล่นอยู่กับเพื่อนเด็กเรียนในศาลาล้อเกวียน ก็มีผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิดมาก่อน "เป้" เพื่อนร่วมชั้นของผมนั่นเอง ผมยังจำสภาพเป้ในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี อ้วน ดำ แว่นหนาเตอะ เท่าที่จำได้ก่อนการเผชิญหน้ากันครั้งนั้นผมแทบจะไม่เคยคุยกับเป้เลย แต่วันนี้เป้มานั่งยิ้มร่าอยู่ในศาลาเดียวกับผมและเริ่มเล่านิทานเรื่อง "ไอ้บ้า" เป็นนิทานแบบอิมโพรไวส์ (Improvise) คือแต่งสดๆ ณ ตรงนั้นเลย ผมนั่งฟังเป้เล่าอย่างตั้งใจ พร้อมกับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งกับเรื่องที่เป้เล่า (มาคิดดูตอนนี้หมอนี่มันมีจินตนาการสูงมาตั้งแต่เด็กแล้วสินะ ถึงว่าเดี๋ยวนี้มันทำแอนิเมชั่นเก่งมาก) หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นแฟนนิทานซีรี่ส์ "ไอ้บ้า" และขอให้เป้เล่าภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 ฯลฯ ต่ออีกในวันต่อๆ มา และในที่สุดผมก็ย้ายสำมะโนครัวจากกลุ่มเด็กเรียน ย้ายไปสมัครเข้ากลุ่มเพื่อนของเป้ อันประกอบด้วย เป้ ปี๊ด แป๊บ (ป.ปลาล้วนๆ เลย) จึงเกิดการประชุมภายในขึ้นเพื่อรับรองสมาชิกใหม่ เพราะผมชื่อ เพนท์ ขึ้นต้นด้วย พ.พาน การรับสมาชิกใหม่จะส่งผลกระทบต่อชื่อแก๊งค์ 3ป. แต่ในที่สุดเพื่อนๆ ก็รับผมเข้ากลุ่มโดยอนุโลม (ภายหลังผมไปปรึกษาพ่อของผมแล้วท่านตั้งชื่อให้ให้แบบอินเตอร์ว่าแก๊งค์ 4P.) เมื่อผมเข้าเป็นสมาชิกแก๊งค์นี้ผมจึงมีเพื่อนใหม่อีก 2 คน คือ ปี๊ดกับแป๊บ ปี๊ดเป็นเพื่อนซี้สุดๆ กับเป้ขนาดที่เรียกชื่อพ่อแทนชื่อจริงกันเลยทีเดียว ส่วนแป๊บเป็นคนที่ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนามาก ทุกซัมเมอร์แป๊บจะไปบวชเณรฝากตัวเป็นลูกศิษย์ที่วัดแห่งหนึ่งเป็นประจำจนเพื่อนๆ ขนานนามให้ว่า มหาโดยที่ไม่ต้องจบเปรียญธรรม 3 ประโยคกันเลยทีเดียว ผมได้เข้าร่วมทำกิจกรรมกับแก๊งค์ 4P. นี้ซึ่งต่างกับกลุ่มจับเข่าคุยโดยสิ้นเชิง ทุกๆ วันตอนพักกลางวันเราจะรวมตัวกันที่ฐานทัพบริเวณใกล้กับที่ดื่มน้ำ (ที่จริงถึงจะเรียกว่าฐานทัพแต่มันก็เป็นโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้เท่านั้นเอง) กิจกรรมของกลุ่มเราบางทีก็วิ่งเล่นกัน บางทีก็เล่นอะไรแบบที่กำลังเป็นกระแสนิยมช่วงนั้น เช่น เอาสติ๊กเกอร์สะสมลายดราก้อนบอลมาเขี่ยทับกัน เอามาตบแปะกัน หรือเอามาฟาดกับโต๊ะเรียกว่าตีไก่ ก็สนุกสนานกันไปตามประสาเด็ก ผมอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้จนถึงชั้นมัธยมต้น ปี๊ดก็มีอันต้องย้ายโรงเรียนไป (ไกลมากตรงข้ามกันเลยแค่คนละฟากแม่น้ำปราจีนบุรี) พอเรียนจบชั้นมัธยมต้นพวกเราก็ไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกับปี๊ดอีก (ปราจีนบุรีมันมีแค่นี้ จบม.ต้นโรงเรียนนี้ก็ข้ามฟากไปเรียนม.ปลายหรืออาชีวะฝั่งตรงข้าม) แต่ก็ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน เลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน ถ้าเจอกันส่วนใหญ่ก็เป็นที่ร้านเกมตอนเลิกเรียนหรือในเกมออนไลน์ (สมัยนั้นfacebookยังไม่เกิดครับ) แต่ยกเว้นแป๊บคนนึงเพราะมันธรรมะธรรโมไม่เล่นเกม ก็เป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งจบม.ปลาย เราก็ต้องแยกย้ายกันไปจริงๆ เป้ไปเรียนต่อสาขาคอมพิวเตอร์เกมและมัลติมีเดียที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านเมืองเอก ปี๊ดไปเรียนต่อบัญชีที่มหาลัยแห่งหนึ่งแถวศรีราชา ส่วนแป๊บขึ้นเหนือไปเรียนนิติศาสตร์ที่เชียงใหม่ เราเลยไม่ได้รวมกลุ่มกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเลย...     
     
         จนมาถึงวันนี้ต่างคนก็ต่างทำงานยิ่งไม่ได้เจอกันเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือ มิตรภาพของพวกเรา ตอนนี้ เป้ ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย เมื่อคริสต์มาสที่ผ่านมา เป้บินกลับมาเมืองไทย หลังจากอาการเมาเครื่องยังไม่หายดีก็สวมหมวกและหนวดซานตาคลอสบิดมอเตอร์ไซค์แฟนธ่อมคันเก่งมาหาผมที่สนามบาสเก็ตบอล พร้อมกับไวน์อย่างดี 1 ขวด (ซึ่งผมไม่ได้กิน เพราะน้องผมมันแอบเปิดกินตอนผมไปฝึกงานภาคฤดูร้อน แต่จากคำให้การของจำเลย มันบอกว่าอร่อยมาก) แล้วเราก็ไปกินเนื้อย่างรำลึกความหลังกัน ทุกวันนี้ผมก็ได้คุยกับเป้ทุกวันผ่านทาง Facebook (ขอบคุณพี่มาร์ค ซักเกอร์เบอร์กมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) ปี๊ด ทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งย่านนิคมอุตสาหกรรมแถวชลบุรี ถึงแม้นานๆ ผมจะผ่านไปแถวนั้นสักที แต่ถ้าเราว่างตรงกันพอดี ปี๊ดจะขับรถมารับผมไปกินข้าวนั่งคุยระลึกความหลัง บางครั้งผมก็บุกไปนอนถึงบ้านมันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าทุกครั้งที่มันกลับมาบ้านที่ปราจีนบุรีมันจะต้องโทรมาถามผมว่าอยู่บ้านไหม ไปหาอะไรกินกันเสมอ (แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยอยู่นี่สิ) แป๊บ ค้นพบหนทางใหม่ของชีวิตเปลี่ยนจาก นักบิณฑ์มาเป็น นักบินกำลังเรียนเป็นคนขับเครื่องบินอยู่ครับ ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแสนนาน บางทีไม่ได้คุยกันเป็นเดือนเป็นปี แต่มิตรภาพก็ไม่เคยจางหาย เพื่อนเป็นแล้วรักษาไม่หายจริงๆ ครับ
ปล. รักและคิดถึงเพื่อนแก๊งค์ 4P. ครับ เมื่อไหร่เราจะมารวมกันครบแก๊งค์อีกหนอ


14 ความคิดเห็น:

  1. 4P เราว่ามีความหมายอื่นแอบแฝงแน่ๆ อ่ะ เราเชื่อเช่นนั้น ฮ่าๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. 4P. มาจาก Paint, Pae, Peed, Pap ต่างหาก ไม่ใช่ 4P. อย่างที่เธอคิดแน่ๆ >___<

      ลบ
  2. คำตอบ
    1. สวดยอดนี่เหมือน สวดภาวนามั้ยอะ

      ลบ
  3. แบ่งปันซะเห็นภาพเลยนะครับ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดฮอดเพื่อนๆที่เคยเรียนด้วยกันสมัยอยู่ชั้นประถมและมัธยม อยากกลับไปเจอเพื่อนอีกครั้ง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นั่นสิ ว่าแล้วก็อยากรวมรุ่นจัง

      ลบ
  4. ครบแล้วจะคอมเม้นต์ดีไหมเนี่ย
    แก๊งค์สี่พีดีจังแฮะ

    ตอบลบ
  5. ต้นตำนานแก้งค์ เกรียนที่เป็น ตำนานผู้สร้างเพทใหญ่ๆในปัจจุบันสินะ
    555 แต่ชอบตรงที่มิตรภาพเนี้ยหละ เยี่ยมมมมม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. การ์ตูนลูกผู้ชายมันต้องมี เลือด หยาดเหงื่อ น้ำตา และมิตรภาพ ถึงจะครบองค์ประกอบ 555+

      ลบ
  6. มิตรภาพเป็นสิ่่งที่ลำ้ค่า จงรักษาไว้ให้ดีนะครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ

    ตอบลบ
  7. ^_^ อ่านแล้วแอบคิดถึงเพื่อนๆมั่ง แงๆๆๆๆ T_T

    ตอบลบ
  8. มิตรภาพล้ำค่าเสมอเนาะพี่ ^^

    ตอบลบ
  9. สมัยนั้น 70 นะโครตแพงเลยนะ -0 -

    แล้วตอนนี้ยังอยู่ไหม๊ ตัวนั้นอะ

    ตอบลบ