วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เงื่อนไขของชีวิต

เงื่อนไขของชีวิตอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ
                ตอนสมัยอยู่ชั้นประถมปลาย หลายๆ คนคงเคยเรียนวิชาลูกเสือ ที่สอนการผูก เงื่อน ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เงื่อนพิรอด”, เงื่อนขัดสมาธิ”, เงื่อนบ่วงสายธนู, ฯลฯ แต่มี เงื่อน ชนิดหนึ่งที่ผูกแน่นเป็น เงื่อนตาย ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเราทุกคน สิ่งนั้นคือ เงื่อนไขของชีวิตครับ

                ชีวิตคนเราบ่อยครั้งสร้างเงื่อนไขให้ชีวิตตัวเองเยอะแยะมากมายก่ายกองพะเนินเทินทึก (คือว่ามันเยอะจริงๆ) ยิ่งเงื่อนไขเยอะมากขึ้นเท่าไหร่ ความสุขก็ยิ่งแปรผกผันลดลงเท่านั้นครับ ตอนสมัยผมเด็กๆ ผมเป็นคนที่มีเงื่อนไขในชีวิตที่เยอะมากครับ (เอาแต่ใจสุดๆ) ดังนั้นผมจึงทะเลาะตบตีกับลูกพี่ลูกน้อง 2 สาวที่อายุมากกว่าผมเป็นประจำครับ ผมขอยกตัวอย่างเงื่อนไขชีวิตในวัยเด็กของผมสัก 2-3 ข้อแล้วกันครับ

                เงื่อนไขที่หนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรผมต้องเป็นที่หนึ่งเสมอครับ เกลียดความพ่ายแพ้ แพ้ไม่ได้ แพ้แล้วไม่พอใจ แพ้แล้วพาลครับ (นี่มันขี้แพ้ชวนตีชัดๆ)

                เงื่อนไขที่สอง  ของข้าใครอย่าแตะ หวงของมากราวกับสมีกอลหวงแหวนแห่งอำนาจ ของรักของสมีกอล….ของรักของสมีกอลใครมาหยิบไปโดยไม่บอกหรือมาทำให้ของเสียหายอาจมีเคืองถึงขั้นชกกันได้

                เงื่อนไขที่สาม กฎสองข้อพึงจำไว้ ข้อที่ 1 ข้าพเจ้าถูกเสมอ ข้อ 2 ถ้ามีข้อสงสัยให้กลับไปดูข้อ 1 !!!!!  ติดนิสัยมาตั้งแต่สมัยอาดัมกับเอวา มีเรื่องอะไรขึ้นมาโยนให้เป็นความผิดของคนอื่นหมด งูล่อลวงข้าพเจ้า!!!”       

                ทั้งนี้และทั้งนั้น เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะผมเป็นลูกชายคนโตของพ่อ-แม่และหลานชายคนโตของตระกูลครับ ดังนั้นผมจึงได้รับการเอาใจเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนแต่ตามใจผมมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีเงื่อนไขในชีวิตเยอะมากครับ แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น ก็ค่อยๆ ได้ขัดเกลาบุคลิกภาพอันเป็นเงื่อนไขเหล่านี้ออกไปทีละเล็กทีละน้อย จนค่อยๆ จางลงไป แต่มันจะยังคงไม่หายไปไหน ยังฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกและส่งผลกับชีวิตในปัจจุบันอยู่ครับ

                ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ผมจึงพยายามปล่อยวางเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิต พยายามทำตัวเรียบง่าย สบายๆ ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ แม้จะปล่อยวางไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตอยู่เสมอ แต่ก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตให้ดี เหมือนกับคติพจน์เก่าแก่ที่ถ้าใครพูดขึ้นมาก็คงมีแต่คนบอกว่าอันนี้อีกแล้ว แต่มันก็เป็นคติพจน์ที่ดีที่สุดคติพจน์หนึ่งครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด



ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องเงื่อน เรื่องลูกเสือแล้ว ขอตบท้ายด้วยรูปชุดเนตรนารีแล้วกันครับ(เกี่ยวกันตรงไหน) ชอบชุดไหนกันครับ :)

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทเรียนจากความทรงจำ

"รู้จักอดบ้างเถอะ"

ย้อนกลับไปสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นป. 6 สมัยนั้นผมชอบ Rockman มาก ผมติดตามเกมซีรี่ส์ Rockman มาหลายภาค ตั้งแต่ภาค Rockman 1-8, Rockman World 1-5, Rockman X 1-5, Rockman Dash 1-2 นอกจากเกมแล้วผมยังซื้อหนังสือการ์ตูนชุด Rockman ที่สำนักพิมพ์บงกชตีพิมพ์ทุกเล่ม และแน่นอนผมสะสมฟิกเกอร์โมเดล Rockman ด้วย แม้แต่เข็มกลัดลาย Rockman ที่ Seven-Eleven เคยเอามาเป็นของแถมผมก็สะสมจนครบทุกแบบ เรียกได้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับ Rockman ถ้าผมสามารถหามาสะสมได้ ผมสะสมหมดครับ

เรื่องที่เป็นบทเรียนครั้งหนึ่งในชีวิตของผมก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Rockman นี่แหละครับ วันนั้นผมไปที่ร้านขายฟิกเกอร์โมเดลเปิดใหม่ (เมืองปราจีนบุรีสมัยนั้นมันเป็นเมืองที่เล็กมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านขายโมเดลมาเปิด และแน่นอนว่าปัจจุบันร้านนั้นปิดไปเรียบร้อยแล้วครับ) แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับฟิกเกอร์โมเดลที่อยู่ในตู้ มันเป็นฟิกเกอร์ Rockman X นั่นเองครับ!!!! (ที่ร้านเอามาขายมี 2 ตัวครับอีกตัวเป็น Acid Seaforce หุ่นยนต์ฝ่ายศัตรูรูปม้าน้ำซึ่งผมคิดว่าจะไปซื้อทีหลัง แต่ก็ไม่ได้ซื้อ orz) ด้วยความที่อยากได้มากจึงให้ป๊ะป๋าถามราคาจากเจ้าของร้านได้ความว่าราคา 70 บาท (สมัยนั้นไม่กล้าถามราคา ไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า ขี้อายมาก) เหมือนโชคดีในความโชคร้าย สมัยนั้นป๊ะป๋าให้โควต้าผมซื้อของเล่นสัปดาห์ละ 50 บาท ด้วยความอยากได้ผมเลยแถสุดตัวบอกว่าสัปดาห์ที่แล้วซื้อของเล่นไปแค่ 20 บาทเอง มันต้องเอามาทบกับสัปดาห์นี้ได้สิ ซึ่งป๊ะป๋ารู้ทันก็เลยไม่ยอม ผมจึงงัดไม้ตายสุดท้ายมาสู้ ร้องไห้งอแง "จะเอา จะอาวววว จาาาอ๊าวววววว!!!!!!" ป๊ะป๋าเลยต้องยอมโดยดี แต่ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า "รู้จักอดบ้างเถอะ"


ไม่รู้ทำไมผมจึงจำประโยคนั้นได้ดีจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่วันนั้นที่ได้ฟังประโยคนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับฟิกเกอร์ Rockman ตัวใหม่ แต่ทุกวันนี้เวลาที่ผมอยากได้อะไร หรือจะซื้ออะไรที่มันไม่จำเป็น มันฟุ่มเฟือย ผมจะคิดถึงคำนี้เสมอ แม้ตอนนั้นจะหน้ามืดอยากได้แค่ไหน ก็จะตัดใจได้ทันทีเหมือนเป็นมนตร์วิเศษเลยครับ

ภาคผนวก
"Rockman หรือ Megaman เป็นวีดีโอเกมแอคชั่นชื่อดังของค่าย Capcom ที่ตัวเอกจะต้องผ่านด่านไปปราบหุ่นยนต์ฝ่ายศัตรูทั้ง 8 ตัว แล้วจึงจะเข้าไปสู้กับหัวหน้าใหญ่ได้ คิดว่าคนที่เคยเล่นคงรู้ดีอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่รู้จักอธิบายไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี งั้นผมจะอธิบายแค่นี้ละกันครับ"

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประสบการณ์เกี่ยวกับกาลเวลาของฉัน

แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป...แต่มิตรภาพของลูกผู้ชายไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

          ในสมัยเด็กๆ ผมเรียนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดปราจีนบุรี สมัยนั้นผมถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มเด็กเรียน (ถึงขั้นเนิดเลยครับ ไร้เดียงสามากๆ) ทำให้สิ่งที่ขาดไปในวัยเด็กของผม คือ การเล่นซนระคนแสบแบบที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันเขาเล่นกัน แต่ชีวิตในวัยเด็กของผมก็ไม่ถือว่าน่าเบื่อสักทีเดียว ผมก็มีเพื่อนกลุ่มเด็กเรียนด้วยกันนี่แหละสัก 3-4 คน ที่ทุกวันเราจะมานั่งจับกลุ่มคุยกันตอนช่วงพักกลางวัน ไม่ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่

          วันหนึ่ง(ผมเองก็จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไร เดือนอะไร)ตอนที่ผมอยู่ชั้นป.5 ขณะที่ผมนั่งคุยเล่นอยู่กับเพื่อนเด็กเรียนในศาลาล้อเกวียน ก็มีผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิดมาก่อน "เป้" เพื่อนร่วมชั้นของผมนั่นเอง ผมยังจำสภาพเป้ในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี อ้วน ดำ แว่นหนาเตอะ เท่าที่จำได้ก่อนการเผชิญหน้ากันครั้งนั้นผมแทบจะไม่เคยคุยกับเป้เลย แต่วันนี้เป้มานั่งยิ้มร่าอยู่ในศาลาเดียวกับผมและเริ่มเล่านิทานเรื่อง "ไอ้บ้า" เป็นนิทานแบบอิมโพรไวส์ (Improvise) คือแต่งสดๆ ณ ตรงนั้นเลย ผมนั่งฟังเป้เล่าอย่างตั้งใจ พร้อมกับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งกับเรื่องที่เป้เล่า (มาคิดดูตอนนี้หมอนี่มันมีจินตนาการสูงมาตั้งแต่เด็กแล้วสินะ ถึงว่าเดี๋ยวนี้มันทำแอนิเมชั่นเก่งมาก) หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นแฟนนิทานซีรี่ส์ "ไอ้บ้า" และขอให้เป้เล่าภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 ฯลฯ ต่ออีกในวันต่อๆ มา และในที่สุดผมก็ย้ายสำมะโนครัวจากกลุ่มเด็กเรียน ย้ายไปสมัครเข้ากลุ่มเพื่อนของเป้ อันประกอบด้วย เป้ ปี๊ด แป๊บ (ป.ปลาล้วนๆ เลย) จึงเกิดการประชุมภายในขึ้นเพื่อรับรองสมาชิกใหม่ เพราะผมชื่อ เพนท์ ขึ้นต้นด้วย พ.พาน การรับสมาชิกใหม่จะส่งผลกระทบต่อชื่อแก๊งค์ 3ป. แต่ในที่สุดเพื่อนๆ ก็รับผมเข้ากลุ่มโดยอนุโลม (ภายหลังผมไปปรึกษาพ่อของผมแล้วท่านตั้งชื่อให้ให้แบบอินเตอร์ว่าแก๊งค์ 4P.) เมื่อผมเข้าเป็นสมาชิกแก๊งค์นี้ผมจึงมีเพื่อนใหม่อีก 2 คน คือ ปี๊ดกับแป๊บ ปี๊ดเป็นเพื่อนซี้สุดๆ กับเป้ขนาดที่เรียกชื่อพ่อแทนชื่อจริงกันเลยทีเดียว ส่วนแป๊บเป็นคนที่ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนามาก ทุกซัมเมอร์แป๊บจะไปบวชเณรฝากตัวเป็นลูกศิษย์ที่วัดแห่งหนึ่งเป็นประจำจนเพื่อนๆ ขนานนามให้ว่า มหาโดยที่ไม่ต้องจบเปรียญธรรม 3 ประโยคกันเลยทีเดียว ผมได้เข้าร่วมทำกิจกรรมกับแก๊งค์ 4P. นี้ซึ่งต่างกับกลุ่มจับเข่าคุยโดยสิ้นเชิง ทุกๆ วันตอนพักกลางวันเราจะรวมตัวกันที่ฐานทัพบริเวณใกล้กับที่ดื่มน้ำ (ที่จริงถึงจะเรียกว่าฐานทัพแต่มันก็เป็นโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้เท่านั้นเอง) กิจกรรมของกลุ่มเราบางทีก็วิ่งเล่นกัน บางทีก็เล่นอะไรแบบที่กำลังเป็นกระแสนิยมช่วงนั้น เช่น เอาสติ๊กเกอร์สะสมลายดราก้อนบอลมาเขี่ยทับกัน เอามาตบแปะกัน หรือเอามาฟาดกับโต๊ะเรียกว่าตีไก่ ก็สนุกสนานกันไปตามประสาเด็ก ผมอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้จนถึงชั้นมัธยมต้น ปี๊ดก็มีอันต้องย้ายโรงเรียนไป (ไกลมากตรงข้ามกันเลยแค่คนละฟากแม่น้ำปราจีนบุรี) พอเรียนจบชั้นมัธยมต้นพวกเราก็ไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกับปี๊ดอีก (ปราจีนบุรีมันมีแค่นี้ จบม.ต้นโรงเรียนนี้ก็ข้ามฟากไปเรียนม.ปลายหรืออาชีวะฝั่งตรงข้าม) แต่ก็ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน เลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน ถ้าเจอกันส่วนใหญ่ก็เป็นที่ร้านเกมตอนเลิกเรียนหรือในเกมออนไลน์ (สมัยนั้นfacebookยังไม่เกิดครับ) แต่ยกเว้นแป๊บคนนึงเพราะมันธรรมะธรรโมไม่เล่นเกม ก็เป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งจบม.ปลาย เราก็ต้องแยกย้ายกันไปจริงๆ เป้ไปเรียนต่อสาขาคอมพิวเตอร์เกมและมัลติมีเดียที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านเมืองเอก ปี๊ดไปเรียนต่อบัญชีที่มหาลัยแห่งหนึ่งแถวศรีราชา ส่วนแป๊บขึ้นเหนือไปเรียนนิติศาสตร์ที่เชียงใหม่ เราเลยไม่ได้รวมกลุ่มกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเลย...     
     
         จนมาถึงวันนี้ต่างคนก็ต่างทำงานยิ่งไม่ได้เจอกันเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือ มิตรภาพของพวกเรา ตอนนี้ เป้ ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย เมื่อคริสต์มาสที่ผ่านมา เป้บินกลับมาเมืองไทย หลังจากอาการเมาเครื่องยังไม่หายดีก็สวมหมวกและหนวดซานตาคลอสบิดมอเตอร์ไซค์แฟนธ่อมคันเก่งมาหาผมที่สนามบาสเก็ตบอล พร้อมกับไวน์อย่างดี 1 ขวด (ซึ่งผมไม่ได้กิน เพราะน้องผมมันแอบเปิดกินตอนผมไปฝึกงานภาคฤดูร้อน แต่จากคำให้การของจำเลย มันบอกว่าอร่อยมาก) แล้วเราก็ไปกินเนื้อย่างรำลึกความหลังกัน ทุกวันนี้ผมก็ได้คุยกับเป้ทุกวันผ่านทาง Facebook (ขอบคุณพี่มาร์ค ซักเกอร์เบอร์กมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) ปี๊ด ทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งย่านนิคมอุตสาหกรรมแถวชลบุรี ถึงแม้นานๆ ผมจะผ่านไปแถวนั้นสักที แต่ถ้าเราว่างตรงกันพอดี ปี๊ดจะขับรถมารับผมไปกินข้าวนั่งคุยระลึกความหลัง บางครั้งผมก็บุกไปนอนถึงบ้านมันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าทุกครั้งที่มันกลับมาบ้านที่ปราจีนบุรีมันจะต้องโทรมาถามผมว่าอยู่บ้านไหม ไปหาอะไรกินกันเสมอ (แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยอยู่นี่สิ) แป๊บ ค้นพบหนทางใหม่ของชีวิตเปลี่ยนจาก นักบิณฑ์มาเป็น นักบินกำลังเรียนเป็นคนขับเครื่องบินอยู่ครับ ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแสนนาน บางทีไม่ได้คุยกันเป็นเดือนเป็นปี แต่มิตรภาพก็ไม่เคยจางหาย เพื่อนเป็นแล้วรักษาไม่หายจริงๆ ครับ
ปล. รักและคิดถึงเพื่อนแก๊งค์ 4P. ครับ เมื่อไหร่เราจะมารวมกันครบแก๊งค์อีกหนอ